ที่มาภาพ:https://www.nytimes.com/2018/11/20/us/politics/terrorism-islamic-militants.html
2 ทศวรรษหลังการก่อวินาศกรรม
9/11 อัล-ไคดาและเครือข่ายได้ก่อร่างขึ้นใหม่ในแง่ขนาด
ความเข้มแข็ง ยุทธศาสตร์และขีดความสามารถปฏิบัติการ โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนรวมถึงกลยุทธ์
การฉวยโอกาส ปรับตัว อดทนและอุดมการณ์ที่ยืดหยุ่น ปัจจุบันอัล-ไคดามีสมาชิกทั่วโลกประมาณ
30,000 - 40,000
คนมีสาขาและเครือข่ายในลิแวนต์ แอฟริกาเหนือ เอเชียใต้ คาบสมุทรอาหรับ การลดกำลังทหารของสหรัฐฯควรใช้แนวทางจัดสรรทรัพยากรให้พร้อมตอบโต้การเคลื่อนไหวที่ทำให้อัล-ไคดาประสบความสำเร็จคือ
การแสวงประโยชน์จากความยุ่งเหยิงขัดแย้งทางการเมือง ความยืดหยุ่น การใช้ข้อมูลที่ผิดและความแตกแยกทางนิกาย[1]
โลกเปลี่ยนไปตลอดกาลเมื่อเหยื่อการก่อการร้ายเกือบ 3,000 คนจากกว่า 70 ประเทศเสียชีวิตใน 11กันยายน 2001 อย่างไรก็ตาม
นับตั้งแต่สงครามต่อต้านการก่อการร้ายโลกเริ่มต้นขึ้น อัล-ไคดาได้วิวัฒนาการในแง่ขนาด
ความแข็งแกร่ง กลยุทธ์และความสามารถปฏิบัติการ สถานภาพอัล-ไคดาในปัจจุบันแตกต่างอย่างมากจากช่วงต้นทศวรรษ
2000 องค์กรนี้อยู่รอดและขับเคลื่อนด้วยปัจจัยที่ยืนยง
หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ไม่ได้รับการจัดการแก้ไขจะทำให้องค์กรนี้ก่อการร้ายทั่วโลกต่อไปในอีกหลายปีข้างหน้า
ปัจจัยแรกที่ทำให้อัล-ไคดายืนยงมาตลอด 20 ปีคือ
มหายุทธศาสตร์ (Grand Strategy) ที่ประมวลอย่างรวบรัดโดย Abu
Bakr Naji ในความเรียงเรื่อง The Management of Savagery:
The Critical Stage Through The Umma Will Pass ว่าด้วยโครงร่างยุทธศาสตร์ระยะยาว
3 ขั้นตอนในการสถาปนารัฐคอลีฟะห์ระดับโลก
ประการแรกคือ
การใช้ความรุนแรงเพื่อสร้าง “ภูมิภาคแห่งความป่าเถื่อน” ซึ่งรัฐชาติ Westphalian[2] ถูกทำลายลง จากนั้นองค์กรต้องสร้างความชอบธรรมในการปกครอง “อย่างมีเหตุผลโดยอาศัยหลักชะรีอะฮ์”
ด้วยความมีประสิทธิภาพและธรรมาภิบาล เพื่อให้ได้รับการสนับสนุนในหมู่ชาวมุสลิมและชักชวนสาวกเพิ่มขึ้น
สุดท้ายขึ้นอยู่กับความสำเร็จของสองขั้นตอนก่อนหน้าคือ การจัดตั้งการปกครองถาวรเพื่อสร้างและรักษาไว้ซึ่งรัฐอิสลามอย่างยั่งยืน
ตลอดช่วงทศวรรษแรกของศตวรรษที่
21 อัล-ไคดาดำเนินการอย่างอดทน อย่างไรก็ดี ในช่วงต้นปี 2011
โอซามา บิน ลาเดน ปรับเปลี่ยนแนวความคิดพร้อมกับการมาถึงของอาหรับสปริง
ซึ่งเป็นพัฒนาการที่เขาคิดไว้เพื่อผลักดันขบวนการซาลาฟี-ญิฮาดจากขั้นตอนที่หนึ่งไปสู่ขั้นตอนที่สอง
นับจากนั้นเป็นต้นมาอัล-ไคดาก็มุ่งความสนใจที่การก่อความไม่สงบในพื้นที่และต่อสู้กับ
“ศัตรูที่อยู่ใกล้”
ไม่นานหลังจากเปลี่ยนเป้าหมายการก่อการร้ายทั่วโลกไปเป็นการก่อความไม่สงบในพื้นที่
บินลาเดนก็ถูกสังหารโดยกองกำลังพิเศษของสหรัฐฯ การเด็ดหัวองค์การก่อการร้ายถือเป็นความสำเร็จทางยุทธวิธีของสหรัฐฯ
แต่ อัล-ไคดายังคงดำเนินการขยายเครือข่ายและชักชวนสมาชิกระดับรากหญ้าเพิ่มขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป
โดยประสบความสำเร็จอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน
ปัจจัยอื่น ๆ ที่เป็นแรงขับเคลื่อนวิวัฒนาการขององค์กร ได้แก่ ความอดทนเชิงกลยุทธ์
การฉวยโอกาสและการปรับตัว ช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมาอัล-ไคดาแสดงความอดทนอย่างน่าประทับใจ
ในการชี้นำการเคลื่อนไหวของขบวนการซาลาฟี-ญิฮาด แม้มีโอกาสมากมายในเยเมน ปากีสถานและแอฟริกาตะวันตกที่อัล-ไคดาสามารถแสวงหาและขยายพื้นที่ยึดครอง
แต่บินลาเดนตัดสินใจหวังผลระยะยาวโดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ระยะสั้น
ผู้นำอัล-ไคดาผลักดันการหยุดยิงและสงบศึกกับกองกำลังติดอาวุธในท้องถิ่น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มก่อการร้ายรัฐอิสลามในอิรัก (ISI) ซึ่งปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว
ในปี 2014 ISI เร่งดำเนินการตามขั้นตอนที่ระบุไว้ใน Management
of Savagery เพื่อจัดตั้งรัฐคอลีฟะห์ในอิรัก การตัดสินใจดังกล่าวกลายเป็นตัวเร่งให้เกิดการแยกตัวกับอัล-ไคดาในกุมภาพันธ์
2014 และนำไปสู่การล่มสลายในที่สุด
การแตกแยกกับ
ISI ได้สร้าง “ศัตรูที่อยู่ใกล้” ขึ้นใหม่ในกลุ่มรัฐอิสลาม (IS)
อัล-ไคดาพยายามปรับตัวและอนุญาตให้ IS ใช้ความรุนแรงต่อเครื่องมืออุปกรณ์ต่อต้านการก่อการร้ายของสหรัฐฯ
โดยยังคงพยายามแสวงประโยชน์จากความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์การเมือง (geopolitical
conflict) ขยายเครือข่ายของตนจากแอฟริกาตะวันตกเฉียงเหนือ (Maghreb) ไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ปัจจัยสุดท้ายที่สร้างความสับสนให้กับพันธมิตรที่ต่อสู้กับอัล-ไคดาคือ ความยืดหยุ่นของอุดมการณ์
นับเป็นเวลาหลายทศวรรษที่อัล-ไคดาประสบความสำเร็จในการขยายเรื่องเล่าที่ว่าชาติตะวันตกกำลังทำสงครามกับศาสนาอิสลาม
ความผิดพลาดของสหรัฐฯทำให้เกิดเรื่องเล่าทางลบมากมาย ดังที่เห็นได้จากการรุกรานอิรักในปี
2003 ภาพที่หลุดจากเรือนจำอาบูกรอห์อิบและการใช้ “เทคนิคการสอบสวนขั้นสูง”
รวมทั้งการกักขังสมาชิกอัล-ไคดาอย่างไม่มีกำหนดที่กวนตานาโมโดยไม่มีการพิจารณาคดี
แทนที่จะตอบโต้เรื่องเล่าดังกล่าว
สหรัฐฯและพันธมิตรกลับใช้มาตรการคว่ำบาตรและการโจมตีด้วยโดรนที่ผิดพลาดรวมทั้งสนับสนุนผู้นำเผด็จการ
ซึ่งไม่เพียงสร้างความคับข้องใจให้กับกลุ่มญิฮาด ยังช่วยให้กลุ่มก่อการร้ายชักชวนสมาชิกเพิ่มขึ้น
ปัจจุบันอัล-ไคดาแข็งแกร่งมากกว่าในปี 2001 หลายเท่า การประมาณการในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาบ่งชี้ว่า
อัล-ไคดามีสมาชิกทั่วโลกระหว่าง 30,000 - 40,000 คน
ขณะนี้อัล-ไคดายังไม่ได้เผชิญความท้าทายที่แท้จริง สงครามต่อต้านการก่อการร้ายระดับโลกได้ขจัดผู้นำระดับสูงของอัล-ไคดา
ทำให้ความสามารถในการโจมตีที่น่าทึ่งและปฏิบัติการต่อต้านตะวันตกลดลงอย่างมาก การที่ไม่เกิดการโจมตีในระดับ
9/11 อีกเป็นการตอกย้ำถึงความสำเร็จของสหรัฐฯในการต่อต้านการก่อการร้าย
การถอนกำลังทหารออกจากตะวันออกกลาง
การปรับเปลี่ยนลำดับความสำคัญในการต่อต้านการก่อการร้ายของสหรัฐฯ โดยหันมามุ่งเน้นการต่อต้านกลุ่มหัวรุนแรงในบ้านเกิด
(homeland) มากขึ้นรวมทั้งตอบสนองการแข่งขันกับมหาอำนาจใหม่ในต่างประเทศ
อัล-ไคดาและเครือข่ายขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ จึงไม่อาจถูกมองว่าเป็น
ภายหลังการพัฒนายุทธศาสตร์ต่อต้านการก่อการร้ายและการจัดสรรทรัพยากร
การถอนทหารออกจากอัฟกานิสถานของสหรัฐฯจะเป็นโอกาสสำคัญในการฟื้นคืนชีพของอัล-ไคดา
ภายใต้การคุ้มครองของตอลิบานทำให้นักรบญิฮาดมีพื้นที่ปฏิบัติการที่จำเป็นในการชักชวนสมาชิก
ติดอาวุธและรวบรวมเครือข่ายข้ามชาติที่แข็งแกร่งของอัล-ไคดา สหรัฐฯควรพิจารณาพันธะสัญญาด้านความมั่นคงอย่างเข้มงวดและจัดสรรทรัพยากรให้เพียงพอเพื่อตอบโต้รากเหง้าของการก่อการร้ายที่ทำให้อัล-ไคดาเติบโตประสบความสำเร็จ
คือ ความวุ่นวายทางภูมิศาสตร์การเมือง อุดมการณ์ที่ยืดหยุ่น การเผยแพร่ข้อมูลที่ผิดและการแบ่งแยกทางนิกาย
ในการนี้สหรัฐฯจะต้องละทิ้งความมั่นคงแบบเข้มงวด
ในการต่อต้านการก่อการร้ายตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา โดยหันมาปรับใช้แนวทางเชิงป้องกันและการฟื้นฟู
การทูตที่มีประสิทธิภาพ ความรู้ด้านดิจิทัลและความยืดหยุ่นในชุมชนที่เปราะบาง ทั้งนี้
เรื่องที่ไม่น่าแปลกใจคือ สหรัฐฯยังคงต้องตอบโต้ภัยคุกคามจากผู้ก่อการร้ายทั้งในและต่างประเทศด้วย
วิวัฒนาการของอัล-ไคดานับตั้งแต่ 9/11 ส่งผลกระทบต่อกลุ่มซาลาฟี-ญิฮาดนิยมและอื่น ๆ ทั่วโลก การก่อตั้งเครือข่ายอัล-ไคดาส่งผลให้ภูมิทัศน์ภัยคุกคามขยายตัว ตั้งแต่แอฟริกาตะวันตกไปจนถึงเอเชียตะวันออก สหรัฐฯและส่วนที่เหลือของโลก ถูกบังคับให้สนับสนุนความพยายามในการต่อต้านการก่อการร้ายด้วยความจำเป็นมากขึ้น ด้วยกระบวนการที่มีความรับผิดชอบและแนวทางที่ยึดหลักนิติธรรม ดังที่แสดงให้เห็นในประเทศต่าง ๆ เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซียและสิงคโปร์ นอกเหนือจากลัทธิซาลาฟี-ญิฮาด การโจมตี ความเป็นผู้นำและการชักชวนของอัล-ไคดายังเป็นแรงบันดาลใจให้กับกลุ่มหัวรุนแรงขวาจัด (violent far-right) และกลุ่มคนขาวผู้สูงส่ง (white supremacist) ทั่วโลก
[1] THE MORE THINGS
CHANGE, THE MORE THEY STAY THE SAME: AL-QAEDA 20 YEARS AFTER 9/11 INTELBRIEF
Monday, July 26, 2021
https://mailchi.mp/thesoufancenter/the-more-things-change-the-more-they-stay-the-same-al-qaeda-20-years-after-911?e=c4a0dc064a
[2] สนธิสัญญาสันติภาพเว็สท์ฟาเลิน
(Peace of Westphalia) ผลการประชุมทางการทูตสมัยใหม่และเริ่มวิถีการปฏิบัติสมัยใหม่
(new order) ของยุโรปกลางในบริบทของรัฐเอกราช เพื่อยุติสงคราม
30 ปีในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และสงคราม 80 ปีระหว่างสเปนและสาธารณรัฐดัตช์และรัฐทั้งเจ็ด ลงนามเมื่อ 15 พฤษภาคม 1648 ที่เมืองออสนาบรึค สนธิสัญญาเขียนเป็นภาษาฝรั่งเศส
ผู้เข้าร่วมสร้างสัญญาสันติภาพก็ได้แก่ สมเด็จพระจักรพรรดิเฟอร์ดินานด์ที่ 3 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (ฮับส์บวร์ก), ราชอาณาจักรสเปน,
ฝรั่งเศส และ สวีเดน, สาธารณรัฐดัตช์
และพันธมิตรของแต่ละฝ่าย สัญญาสันติภาพเว็สท์ฟาเลิน เข้าถึงได้ที่: https://th.wikipedia.org/wiki/สนธิสัญญาสันติภาพเว็สท์ฟาเลิน

No comments:
Post a Comment