ขบวนการญิฮาดมิได้เป็นแนวหน้าของการปฏิวัติตามที่โอซามา
บิน ลาเดน อดีตผู้นำอัล-ไคดาเคยจินตนาการไว้ แต่เป็นการประท้วงซึ่งเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง
ความจัดเจนทั้ง “การผสมผสาน (hybridization)” และ “การเปลี่ยนอัตลักษณ์ศาสนา
(salafization)”[1] รวมถึงพัฒนาการของขบวนการญิฮาดในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก่อให้เกิดปรากฏการณ์ที่ซับซ้อนอย่างมาก
ทั้งนี้ การปรากฎตัวของกลุ่มรัฐอิสลาม (IS) ช่วยยกระดับการต่อสู้ทางการเมืองของขบวนการญิฮาดเพื่อสร้าง
“สังคมยุคเมืองก่อนรัฐ (jihadi proto-state)” ดังนั้น การตอบโต้ภัยคุกคามจากการก่อการร้ายของพวกญิฮาด
จึงต้องทำความเข้าใจวิวัฒนาการของขบวนการและกำหนดนโยบายใหม่ในการตอบโต้ทางการเมืองและการทหาร[2]
การประสานความร่วมมือระหว่างโอซามา
บิน ลาเดนกับคอลิด เชค โมฮัมหมัดและผู้ก่อการร้ายในสังกัดอัล-ไคดาเพื่อโจมตีสหรัฐฯ เมื่อ 9 กันยายน 2021 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของขบวนการญิฮาดทั่วโลก ส่งผลให้ อัล-ไคดาอยู่แถวหน้าของวาระและผูกขาดนโยบายความมั่นคงของชาติตะวันตกตลอดช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา
ทั้งนี้ อัล-ไคดาและขบวนการญิฮาดได้เปลี่ยนสภาพไปอย่างมีนัยสำคัญหลายประการ ซึ่งเห็นได้จากการตอบโต้การก่อตั้งรัฐอิสลาม
(IS)
วัตถุประสงค์เริ่มแรกของบิน ลาเดน คือ การสร้างขบวนการแนวหน้าเพื่อต่อสู้กับระบอบการปกครองในโลกอิสลามที่ละทิ้งความศรัทธาและกระตุ้นให้เกิดการจลาจลก่อความไม่สงบในท้องถิ่น
ความสำเร็จของขบวนการ ญิฮาดทั่วโลกดูเหมือนจะเกินความทะเยอทะยานสูงสุดของเขา
อาทิ การแพร่ขยายกลุ่มพันธมิตรในหลายประเทศและการระดมนักรบจำนวนมาก ความสำเร็จของกลุ่ม
IS ได้เปลี่ยนขบวนการญิฮาดให้กลายเป็นขบวนการประท้วงที่สามารถดึงดูดผู้คนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกลุ่มอิสลามสุดโต่งและกลุ่มติดอาวุธจากทั่วโลก
ตัวแบบการก่อตั้งและขยายเครือข่ายอัล-ไคดาเมื่อหลายสิบปีก่อนถูกทำซ้าโดยกลุ่ม
IS และกลุ่มที่เกี่ยวข้อง ปัจจุบันนักรบอิสลามสยายปีกไปทั่วหลายภูมิภาค
ตั้งแต่ด้านตะวันตกของซาเฮลไปจนถึงฟิลิปปินส์ทางตะวันออก จากคอเคซัสทางตอนเหนือไปจนถึงโมซัมบิกทางตอนใต้
แม้กลุ่มติดอาวุธเหล่านี้เห็นอกเห็นใจและยึดถืออุดมการณ์กลุ่มญิฮาดในระดับหนึ่ง
แต่ก็มีความแตกต่างกันในแง่วัตถุประสงค์ ลำดับความสำคัญและยุทธวิธี
แกนหลักของขบวนการญิฮาดกำหนดลำดับความสำคัญของศัตรูตามวาระระดับโลก
โดยเคลื่อนไหวแบบผสมผสาน (hybrid) เพื่อจัดลำดับความสำคัญการกำหนดเป้าหมายที่แตกต่างในพื้นที่และทั่วโลก
ช่วงจุดสูงสุดระหว่างปี 2015 และ 2017 กลุ่ม
IS ประสบความสำเร็จในการกำกับการก่อความไม่สงบในท้องถิ่นหลายครั้ง
ขณะเดียวกันก็สร้างแรงบันดาลใจให้เกิดความสะพรึงกลัวกลุ่มก่อการร้ายที่ใช้อิลามสร้างความชอบธรรมแก่ตนเอง
(Islamists Terrorism) ในชาติตะวันตก
ช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ขบวนการญิฮาดพยายามเปลี่ยนอัตลักษณ์ทางศาสนา ตามแนวคิดของขบวนการ ซาลาฟี (salafization) ซึ่งได้รับความนิยมในชุมชนอิสลาม
แม้มีความพยายามร่วมกันในการอธิบายว่า อัล-ไคดาเป็นองค์กรที่มีอุดมการณ์พื้นฐานแบบ
Salafi-jihadi แต่กลุ่มนี้มีแนวคิดหลากหลายซึ่งได้รับอิทธิพลจากความคิดของ
Sayyid Qutb นักปรัชญาอิสลามชาวอียิปต์ ส่วนแนวคิดซาลาฟีมีลักษณะเฉพาะโดยตีความคัมภีร์อัล-กุรอ่านตามตัวอักษรอย่างเข้มงวด
แนวคิดแบบซาลาฟีมีชื่อเสียงในแวดวงญิฮาดในช่วงกลางปี
2000
โดยเป็นตัวกำหนดความคิดของ Abu Musab
al-Zarqawi ผู้นำกลุ่มติดอาวุธอัล-ไคดาในอิรัก แนวคิด Salafi-jihadi
ครอบงำความคิดของนักรบญิฮาดของ IS ซึ่งยึดถือเป็นธรรมนูญการปกครอง
โดยปลูกฝังและบังคับประชากรภายใต้การควบคุมของตนให้เชื่อฟังผ่านกฎเกณฑ์และการลงโทษที่เข้มงวดในทางปฏิบัติ
ความทะเยอทะยานในการปกครองของกลุ่ม
IS นับเป็นวิวัฒนาการสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างการเติบโตของขบวนการญิฮาด
ในฐานะกองกำลังปฏิวัติ จุดแข็งของอัล-ไคดาคือ ความสามารถในการก่อกวนและโจมตีศัตรูอย่างมีประสิทธิภาพ
ทำให้ได้รับความสนใจและเป็นประโยชน์ต่อการชักชวนสมาชิก ส่วนจุดอ่อนคือ การขาดความสามารถในการปกครอง
ซึ่งเห็นได้จากความล้มเหลวในการดำเนินการทั้งในเยเมนและมาลี
กลุ่ม IS และกลุ่มติดอาวุธในอิรักมีแนวโน้มเปลี่ยนแนวทางการต่อสู้ทางทหารมาเป็นการเมืองที่ยั่งยืน
ช่วงเวลาที่เคลื่อนไหวอยู่ทางตะวันตกของอัฟกานิสถานระหว่างปี 1990 และ 2006 al-Zarqawi พยายามสร้างสังคมขนาดเล็ก หลังการเสียชีวิตของเขาในปี
2006 อัล-ไคดาในอิรัก (AQI) ประกาศจัดตั้งรัฐอิสลามในอิรัก
(ISI) โดยเป็นองค์กรทางการเมืองอย่างเป็นทางการซึ่งแบ่งกระทรวงรับผิดชอบเฉพาะด้าน
กลุ่ม IS และกลุ่ม Hay'at
Tahrir al-Sham (HTS) คู่แข่งขนาดกลาง ยังคงพยายามพัฒนาสร้าง “รัฐญิฮาด”ต่อไป
ส่งผลให้กระบวนการทางการเมืองของขบวนการญิฮาดมีความซับซ้อมมากขึ้น ซึ่งขบวนการมักจะหลีกเลี่ยงการให้รายละเอียดของโครงการทางการเมืองอย่างชัดเจน
นอกจากวิวัฒนาการภายใน
ขบวนการ Salafi-jihadi ยังต้องปรับตัวเพื่อรับมือแรงกดดันจากการต่อต้านการก่อการร้ายอย่างเข้มข้นของสหรัฐฯและพันธมิตรได้แก่
ปฏิบัติการทางทหารทั้งตามแบบและนอกแบบ การจำกัดการเดินทางและมาตรการคว่ำบาตร ซึ่งท้าทายความสามารถในการปฏิบัติการของขบวนการ
การเด็ดหัวผู้นและการจำกัดภัยคุกคามของชาติตะวันตก ขบวนการ Salafi-jihadi ไม่เพียงต้องจัดการแรงกดดันเพื่อความอยู่รอด แต่ยังใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้นเพื่อสร้างความแข็งแกร่งเป็นระยะ
ๆ
ความขัดแย้งอย่างต่อเนื่องและสภาพแวดล้อมทางการเมืองที่เปราะบางรวมถึงซีเรีย
อิรัก อัฟกานิสถาน โซมาเลีย ไนจีเรีย ซาเฮล โมซัมบิกและสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกได้เปิดทางให้กลุ่มญิฮาดหาที่หลบภัย
ชักชวนสมาชิก ร่วมปฏิบัติการทางทหารและบางครั้งวางแผนและสั่งการโจมตีก่อการร้ายในประเทศตะวันตก
ข้อสรุปที่น่าเศร้าคือ 20 ปีหลังจากการโจมตี 9/11 ขบวนการญิฮาดปรากฏตัวขึ้นในเชิงภูมิศาสตร์และได้รับการสนับสนุนเชิงตัวเลขอย่างแข็งแกร่งมากกว่าที่เคยเป็นมา
ขณะที่ผู้กำหนดนโยบายเสร็จสิ้นภารกิจการใช้กฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายและจำกัดการเคลื่อนไหวของกลุ่มญิฮาด
แต่ยังมีงานที่ต้องทำอีกมาก ปัจจัยสำคัญนการตอบโต้ภัยคุกคามจากขบวนการ Salafi-jihadi
คือ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติและวิวัฒนาการของขบวนการญิฮาดร่วมสมัยในอดีตจนถึงปัจจุบัน
เพื่อแสดงให้เห็นขบวนการซึ่งเป็นที่ยอมรับทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับโลก
ลัทธิญิฮาดไม่ได้เป็นตัวแทนของพวกหัวรุนแรงทางศาสนาอีกต่อไป
แต่เป็นปรากฏการณ์ข้ามอุดมการณ์ ซึ่งทวีความรุนแรงอย่างรวดเร็ว บางครั้งเกิดขึ้นในช่วงสองสามสัปดาห์หรือหลายเดือน
ก่อนหน้านี้ต้องใช้เวลาหลายปีในการศึกษาอย่างระมัดระวังและฝึกอบรมอย่างลับ ๆ
ด้วยเหตุนี้ ทางการจึงต้องเลิกเพ่งความสนใจไปที่การตีความทางศาสนาอย่างแคบของพวกหัวรุนแรงและให้รวมปัจจัย
“ความเปราะบาง” เข้ามาด้วย
ในอนาคตผู้มีแนวคิดสุดโต่งหรือผู้ก่อการร้ายไม่จำเป็นต้องเป็นบุคคลที่ยอมรับแนวคิดที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง แต่อาจเป็นบุคคลที่ขาดอัตลักษณ์ ความมั่นคงและค้นหาความมุ่งหมายในชีวิต เช่นเดียวกับกรณี Moyed al-Zoebi ชาวซีเรียที่เดินทางมาสวีเดนเพื่อขอลี้ภัยพร้อมกับภรรยาและบุตรชายวัย 1 ขวบ ต่อมาเขาถูกกลุ่ม IS ชักชวนให้ก่อเหตุในเมืองหลวงของเดนมาร์ค แต่ถูกจับกุมและลงโทษจำคุก 12 ปี เป็นหนึ่งในหลายตัวอย่างที่พิสูจน์ได้
[1] ขบวนการซาลาฟี
(Salafism) หมายถึงขบวนการเผยแผ่ที่ตั้งใจจะเปลี่ยนอัตลักษณ์ทางศาสนาของมุสลิมสำนักนิกายอื่น
ๆ โดยมุ่งหมายที่จะเจริญรอยตามวัตรปฏิบัติทางศาสนาและศีลธรรมของอิสลามสามรุ่นแรกหรือบรรพบุรุษผู้ทรงธรรม
(al-salaf al-salih) จึงตีความคัมภีร์อัล-กุรอานแบบตรงตามตัวอักษร เป้าหมายสูงสุดของขบวนการซาลาฟีคือ ทำให้มุสลิมสำนักนิกายอื่น
ๆ ยอมรับว่าอิสลามในแบบของซาลาฟีคือ หลักศาสนาดั้งเดิม ขณะที่การตีความแบบอื่นเป็นการบิดเบือนจากรูปแบบบริสุทธิ์ของศาสนา ในเชิงความคิดนั้น กลุ่มเหล่านี้แตกต่างจากขบวนการปฏิรูปศาสนาอิสลาม
ซึ่งอ้างตัวเป็นขบวนการซาลาฟีเช่นกัน เข้าถึงได้ที่:
https://kyotoreview.org/thai/modalities-of-salafi-transnationalism-in-southeast-asia-thai-2/
[2] THE EVOLUTION OF THE GLOBAL JIHADIST MOVEMENT FROM A
ONE-HEADED MONSTER TO A HYDRA INTELBRIEF Friday, July 30, 2021 Available
at: https://mailchi.mp/thesoufancenter/the-evolution-of-the-global-jihadist-movement-from-a-one-headed-monster-to-a-hydra?e=c4a0dc064a

No comments:
Post a Comment