ที่มาภาพ:
https://www.economist.com/europe/2021/09/25/frances-humiliation-by-america-will-have-lasting-effects
ความตกลงร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างออสเตรเลีย-อังกฤษ-สหรัฐฯ
(AUKUS) นอกจากสะท้อนการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯเพื่อสร้างความใกล้ชิดกับภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
ยังเป็นรากฐานสำคัญในการต่อต้านจีนที่กำลังผงาดขึ้น ขณะที่ รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศสกล่าวว่า
AUKUS เป็นการตัดสินใจฝ่ายเดียวของสหรัฐฯที่ “โหดร้าย คาดเดาไม่ได้”
และเป็นการ “แทงข้างหลัง” การกีดกันฝรั่งเศสและสหภาพยุโรปจากความตกลงดังกล่าวไม่เพียงกระทบความสัมพันธ์ข้ามแอตแลนติก
ยังทำให้พันธมิตรทั้งสองของสหรัฐฯเพิ่มการใช้จ่ายงบประมาณด้านการป้องกันประเทศ รวมทั้งพัฒนาขีดความสามารถทางการทหารตามนโยบายลดการพึ่งพาสหรัฐฯ
(strategic autonomy)[1]
แถลงการณ์ร่วมของผู้นำออสเตรเลีย
อังกฤษและสหรัฐฯ เมื่อ 15 กันยายน 2021
ประกาศความร่วมมือด้านความมั่นคงไตรภาคีซึ่งเรียกว่า AUKUS โดยสหรัฐฯและอังกฤษตกลงที่จะช่วยเหลือออสเตรเลียจัดสร้างและประจำการเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ในมหาสมุทรแปซิฟิก
ซึ่งนักวิเคราะห์หลายคนมองว่าเป็นการท้าทายโดยตรงต่ออิทธิพลทางทะเลของจีนที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาค
ขณะที่ฝรั่งเศสซึ่งเป็นพันธมิตรสหรัฐฯในยุโรปได้รับความเสียหายทางอ้อม เนื่องจากออสเตรเลียยกเลิกข้อตกลงจัดซื้อเรือดำน้ำพลังงานดีเซลของฝรั่งเศสจำนวน
12 ลำ มูลค่า 66,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ความตกลง
AUKUS เป็นส่วนหนึ่งของการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ของประธานาธิบดีไบเดนที่หันมามุ่งเน้นภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของกลยุทธ์ต่อต้านจีนที่กำลังเติบโต เรือดำน้ำถูกออกแบบมาเพื่อสร้างดุลอำนาจในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
ยุทโธปรณ์แบบนี้สามารถอยู่ใต้น้ำได้เป็นระยะเวลานานหลายเดือน ตรวจจับได้ยากและอาจติดตั้งจรวดร่อน
(cruise missile) ความตกลง OKUS ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการปฏิบัติการร่วม
(interoperability) ระหว่างออสเตรเลียและกองเรือแปซิฟิกของสหรัฐฯด้วย
ทางด้านฝรั่งเศสตอบโต้สหรัฐฯและออสเตรเลียอย่างรุนแรง
โดยเรียกตัวเอกอัครราชทูตประจำกรุงวอชิงตันและแคนเบอร์รากลับประเทศ ความตกลงดังกล่าวถูกมองว่าเป็นการดูแคลนที่น่าอับอายสำหรับฝรั่งเศสซึ่งเชื่อว่า
เป็นการตัดสินใจฝ่ายเดียวของสหรัฐฯโดยไม่ได้ปรึกษาหารือกับพันธมิตรที่ยาวนานเช่นตนรวมถึงการถอนตัวและการอพยพจากอัฟกานิสถานแบบไม่เรียบร้อย
ฌอง-อีฟว์ เลอ ดริยอง
รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศสกล่าวกับรายการวิทยุของฝรั่งเศสว่าข้อตกลง AUKUS
เป็นการตัดสินใจฝ่ายเดียวที่ “โหดร้าย คาดเดาไม่ได้" และเป็นการ
“แทงข้างหลัง”
บางคนในวอชิงตันเชื่อว่า
ความไม่พอใจของฝรั่งเศสเกี่ยวข้องกับปัญหาทางการทูตน้อยกว่าผลกระทบต่อการเตรียมการทางธุรกิจ
ฝรั่งเศสรู้สึกว่าตนไม่ได้รับแจ้งเรื่องความเป็นหุ้นส่วนก่อนที่จะมีการประกาศ มิหนำซ้ำยังถูกดูแคลนและสูญเสียสัญญาจัดสร้างเรือดำน้ำมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดยคาดหวังว่าประธานาธิบดีไบเดนจะเป็นพันธมิตรระหว่างประเทศที่คาดเดาได้และพร้อมรับมือมากกว่านี้
ความผิดหวังของฝรั่งเศสจึงเกิดขึ้นอย่างฉับพลันและสะท้อนจากท่าทีของสหภาพยุโรป
ประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศสได้เสนอนโยบายลดการพึ่งพาสหรัฐฯมาอย่างยาวนาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างสมดุลกับพลังอำนาจทางทหารและเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นของจีน
ส่วนอังกฤษภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน มีท่าทีที่เป็นอิสระมากขึ้น
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ “Global Britain” หลัง Brexit
สำหรับออสเตรเลีย การเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับอังกฤษและสหรัฐฯเหมาะสมกว่าข้อตกลงทวิภาคีกับฝรั่งเศส
พันธมิตรยุโรปบางชาติไม่ต้องการยั่วยุจีน โดยมองว่าความร่วมมือของจีนในประเด็นต่าง
ๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการค้าเป็นสิ่งสำคัญ
เอกสารนโยบายเรื่อง
“ยุทธศาสตร์ความร่วมมือของสหภาพยุโรปในอินโด-แปซิฟิก” ซึ่งตีพิมพ์เมื่อเร็ว ๆ นี้เรียกร้องให้มีส่วนร่วม
“หลายแง่มุม” กับจีนรวมทั้งความร่วมมือที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน โดย “ผลักดัน” ประเด็นที่ยังมีความ
“ขัดแย้งพื้นฐาน” การถูกกีดกันจากการเป็นหุ้นส่วนข้อตกลง AUKUS อาจทำให้ฝรั่งเศสและสหภาพยุโรปห่างเหินสหรัฐฯมากขึ้น พันธมิตรทั้งสองอาจเพิ่มการใช้จ่ายงบประมาณด้านการป้องกันประเทศและพัฒนาขีดความสามารถทางการทหารโดยดำเนินนโยบายลดการพึ่งพาสหรัฐฯ
ความแตกแยกของพันธมิตรข้ามแอตแลนติคอาจเลือนหายไปตามกาลเวลา
แต่ไม่ควรมองข้ามรากฐานสำคัญ กล่าวคือ กว่าหนึ่งทศวรรษหลังการ “ปักหมุดเอเชีย” ของรัฐบาลประธานาธิบดีโอบามา
ดูเหมือนว่าสหรัฐฯกำลังปรับเปลี่ยนนโยบายต่อต้านการก่อการร้ายที่ดำเนินมาตลอด 20
ปีไปสู่การสร้างพันธมิตรเพื่อปิดล้อมอิทธิพลของจีนที่เพิ่มขึ้นในอินโด-แปซิฟิกหรือในอัฟกานิสถาน
อย่างไรก็ดี ไม่ควรพิจารณายุทธศาสตร์ทั้งสองแยกจากกัน องค์ประกอบหนึ่งของยุทธศาสตร์ดังกล่าวคือ
การเกิดขึ้นของความร่วมมือด้านความมั่นคงสี่ฝ่าย (Quadrilateral Security
Dialogue) ซึ่งเป็นการเจรจาเชิงกลยุทธ์ระหว่างสหรัฐฯ ออสเตรเลีย
อินเดียและญี่ปุ่น
สหรัฐฯและพันธมิตรยังต้องสร้างสมดุลระหว่างการเตรียมพร้อมเพื่อการแข่งระหว่างมหาอำนาจอันยิ่งใหญ๋กับวัตถุประสงค์ที่สำคัญอื่น
ๆ รวมทั้งการตอบสนองการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของไวรัส
COVID-19 ที่กำลังดำเนินอยู่ ขณะที่จีนต่อต้านความพยายามของชาติอื่น
ๆ ในการควบคุมการเติบโตอย่างรวดเร็วของตนและแสดงความข้องใจเกี่ยวกับ “แนวความคิดเรื่องสงครามเย็น”
ซึ่งประเทศตะวันตกได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า การตอบสนองความก้าวร้าวของจีนในเชิงกลยุทธ์มีความสำคัญต่อความมั่นคงในระยะยาวของภูมิภาค
[1] THE TRANSATLANTIC FALLOUT OVER AUKUS AND WHAT IT
MEANS FOR CONTAINING CHINA INTELBRIEF Wednesday, September 22, 2021 Available
at: https://mailchi.mp/thesoufancenter/the-transatlantic-fallout-over-aukus-and-what-it-means-for-containing-china?e=c4a0dc064a

No comments:
Post a Comment