ที่มาภาพ: An Urgent Reminder: Climate Change As A Security Threat
https://www.oceancare.org/en/an-urgent-reminder-climate-change-as-a-security-threat/
รายงานประมาณการข่าวกรอง
4 ฉบับของหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯสรุปตรงกันว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะส่งผลกระทบเสถียรภาพของภูมิศาสตร์การเมืองในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
การแข่งขันทางยุทธศาสตร์ในบริเวณขั้วโลกเหนือ (Arctic) จะทวีความรุนแรง
เนื่องจากรัฐต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้มีท่าทีแข็งกร้าวในการหาทางเข้าถึงเส้นทางเดินเรือมากขึ้น
รายงานบางฉบับประเมินว่าจะมีผู้พลัดถิ่นหลายสิบล้านคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชากรในซีกโลกใต้
อาทิ ตอนใต้ของทะเลทรายซาฮารา (แอฟริกา) เอเชียใต้และละตินอเมริกา ส่วนประเทศที่มีความเสี่ยงต่อเป็นพิเศษได้แก่
กัวเตมาลา เฮติ เกาหลีเหนือ ปากีสถาน อินเดีย อัฟกานิสถาน อิรัก พม่า นิการากัว
โคลอมเบียและฮอนดูรัส[1]
ประมาณการข่าวกรองจัดทำโดยสำนักงานผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ (ODNI)
สภาความมั่นคงแห่งชาติ (NSC) กระทรวงกลาโหม (DoD)
และกระทรวงความมั่นคงแห่งบ้านเกิด (DHS) สหรัฐฯซึ่งเผยแพร่เมื่อปลายตุลาคม
2021 ชี้ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดความความไม่แน่นอนทางภูมิศาสตร์การเมืองในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
มีแนวโน้มว่าการขาดแคลน/แย่งชิงทรัพยากร แหล่งน้ำ อาหาร พลังงานและที่ดินทำกินมากขึ้นจะนำไปสู่การทำสงครามทั้งภายในและระหว่างรัฐ
หัวใจสำคัญของความมั่นคงกับสภาพอากาศ
(climate-security nexus) แสดงให้เห็นความซับซ้อนของความท้าทายและปัญหาต่าง
ๆ เช่น สภาพอากาศสุดขั้ว การย้ายถิ่น ความขัดแย้งและการเข้าถึงทรัพยากรเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออกและไม่สามารถแยกแยะได้
เมื่อกันยายน 2021 อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติกล่าวต่อที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
(ไอร์แลนด์เป็นประธาน) โดยอ้างรายงานล่าสุดของคณะกรรมการระหว่างประเทศว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศว่า
เป็นสัญาณเตือนภัยที่มีนัยสำคัญระดับ “รหัสสีแดง”
หลายประเทศไม่เห็นด้วยกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
และความเกี่ยวข้องระหว่างสภาพอากาศกับความมั่นคงซึ่งท้าทายความพยายามร่วมมือระหว่างประเทศ
ผลกระทบทางเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันทั่วโลก อย่างไรก็ดี
ยังมีโอกาสที่จะปรับสมดุลของพลังงานโลก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่ประสบความสำเร็จในการควบคุมและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่เกี่ยวกับพลังงานหมุนเวียน
รวมทั้งการเข้าถึงแร่ธาตุหายากซึ่งจำเป็นในการสร้างแบตเตอรี่ กังหันลมและวงจรไฟฟ้าอีกทั้งเป็นพื้นที่การแข่งขันเพื่อสร้างอิทธิพลของประเทศต่าง
ๆ
การแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ในแถบขั้วโลกเหนือมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นอย่างมาก
เนื่องจากประเทศมหาอำนาจมีท่าทีแข็งกร้าวในการพัฒนาหาทางเข้าถึงเส้นทางเดินเรือ
กองกำลังติดอาวุธของสหรัฐฯจะถูกท้าทายจากสภาพอากาศที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมพร้อมทางทหาร
โดยมีแนวโน้มว่าจะต้องรับผิดชอบการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ (HA/DR)
ทั้งนี้ สหรัฐฯได้ให้ความช่วยเหลือหลังเกิดพายุเฮอริเคน
แผ่นดินไหวและน้ำท่วม
ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ภาวะแห้งแล้งยืดเยื้อ การแพร่กระจายของไฟป่าและสภาพอากาศสุดขั้วมีแนวโน้มทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า
“ผู้ลี้ภัยจากสภาพภูมิอากาศ (climate refugee)”
เนื่องจากสภาพอากาศมีผลกระทบต่อการอพยพย้ายถิ่น ในทางกลับกันจะเพิ่มความขัดแย้ง
ผู้คนหลายสิบล้านคนจะต้องพลัดถิ่น โดยเฉพาะประชากรในซีกโลกใต้รวมถึงเอเชียใต้
ทะเลทรายซาฮาราตอนใต้และละตินอเมริกา
อุณหภูมิและความเป็นกรดของมหาสมุทรสูงขึ้น
การเก็บเกี่ยวพืชผลได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของปริมาณน้ำฝนและราคาอาหารที่สูงขึ้นอาจทำให้การขาดแคลนอาหารเกิดขึ้นบ่อยครั้ง
เนื่องจากการประมงได้รับผลกระทบและธัญพืชมีปริมาณลดลง ประเทศกำลังพัฒนามีความสามารถน้อยลงในการจัดการผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
รวมถึงความเสียหายต่อทรัพย์สิน ธุรกิจและโครงสร้างพื้นฐาน หลายประเทศต้องเผชิญทางเลือกในการจัดหาที่อยู่อาศัยและทำงานให้แก่ประชาชน
BBC ตั้งข้อสังเกตว่าพายุภัยพิบัติในบังคลาเทศที่เกิดขึ้นหนึ่งครั้งในแต่ละทศวรรษ
อาจเพิ่มเป็น 3 - 15 ครั้งในแต่ละปีและระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นถึง 1.5 เมตร
หลายประเทศที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแอฟริกาเป็นกลุ่มที่ปล่อยคาร์บอนต่ำที่สุด
แต่ได้รับผลกระทบสูงสุด ขณะเดียวกัน สัดส่วนการปล่อยก๊าซคาร์บอนส่วนใหญ่มาจากประเทศอุตสาหกรรมและประเทศที่พัฒนาแล้ว
เฉพาะจีนเพียงประเทศเดียวมีสัดส่วนร้อยละ 30 ของการปล่อยคาร์บอนทั่วโลก
ส่วนที่น่าสนใจที่สุดของรายงานที่จัดทำโดยประชาคมข่าวกรองของสหรัฐฯคือ รายชื่อ
2 ภูมิภาคและ 11ประเทศที่มีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุดคือ
แอฟริกากลางและมหาสมุทรแปซิฟิก (ประเทศเกาะเล็ก ๆ รวมตัวกันเป็นกระจุก) ส่วนประเทศต่าง
ๆ ได้แก่ กัวเตมาลา เฮติ เกาหลีเหนือ ปากีสถาน อินเดีย อัฟกานิสถาน อิรัก พม่า/เมียนมาร์
นิการากัว โคลอมเบียและฮอนดูรัส
นัยสำคัญของความมั่นคงในระดับโลกกับเสถียรภาพภายในของประเทศที่เห็นได้ชัด
คือ เกาหลีเหนือและปากีสถานซึ่งครอบครองอาวุธนิวเคลียร์
หากรัฐบาลไม่สามารถสนองความต้องการพื้นฐานของพลเมืองของตนและสถานการณ์เลวร้ายลงจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
อาจนำไปสู่การประท้วงอย่างกว้างขวางและการเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐที่เปราะบางอยู่แล้ว
รายงานดังกล่าวของหน่วยงานความมั่นคงสหรัฐฯจัดทำขึ้น
เพื่อนำไปสู่การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่
26 (COP 26) ซึ่งจัดขึ้นระหว่าง 31 ตุลาคม
- 12 พฤศจิกายน 2021 ที่เมืองกลาสโกว์
สกอตแลนด์ โดยอังกฤษเป็นเจ้าภาพ ทั้งนี้ สหรัฐฯภายใต้การนำของประธานาธิบดีไบเดนทำให้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นจุดศูนย์กลางของวัตถุประสงค์ด้านนโยบายภายในและต่างประเทศหลายประการ
ในระดับสากล
มีความตึงเครียดระหว่างรัฐต่าง ๆ เช่น เยอรมนีและไอร์แลนด์ที่ผลักดันให้คณะมนตรีความมั่นคงฯตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างสภาพภูมิอากาศและความมั่นคง
รวมทั้งพยายามหาข้อตกลงแก้ไขปัญหาฉบับใหม่ ส่วนรัสเซียโต้แย้งว่าประเด็นทั้งสองยังคงไม่เกี่ยวข้องกัน
ภายหลัง
Brexit อังกฤษลงทุนอย่างหนักในการสร้างภาพลักษณ์ระดับโลก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประชุม COP26 นายกรัฐมนตรีบอริส
จอห์นสัน เรียกร้องให้โลกลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์และรักษาระดับการเพิ่มของอุณหภูมิไว้ที่
1.5 องศาเซลเซียส ตามที่ได้ให้คำมั่นไว้ในความตกลงปารีส
[1] U.S. GOVERNMENT AGENCIES WARN OF DIRE IMPLICATIONS OF
CLIMATE CHANGE ON GLOBAL SECURITY INTELBRIEF Monday, October 25, 2021 Available
at: https://mailchi.mp/thesoufancenter/us-government-agencies-warn-of-dire-implications-of-climate-change-on-global-security?e=c4a0dc064a
No comments:
Post a Comment