ที่มาภาพ: https://www.code.ng/2021/10/what-is-web-30-and-why-is-it-important.html
เดิมเรามี web1 หรือ “อินเตอร์เน็ต” ที่ทุกคนรู้จักกันดี
จากนั้นก็มี Web2 ซึ่งผู้ใช้สร้างขึ้น (user-generated
web) โดยการประโคมของสื่อสังคม (social media)
เพื่อโต้ตอบกันได้อย่างอิสระและอัปเดตข่าวสารได้ตลอดเวลาจนถึงขณะนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหน
ผู้คนกำลังพูดถึง web3 หรือบางครั้งเรียกว่า web 3.0 อันเป็นวิวัฒนาการแบบก้าวกระโดดครั้งต่อไปของอินเตอร์เน็ต แล้วทั้งหมดที่กล่าวมาหมายถึงอะไร?[1]
ปัจจุบันยังคงมีความเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับ
Web3 ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการและยังไม่มีความชัดเจน
อย่างไรก็ตาม หลักการสำคัญของเรื่องนี้คือ การกระจายอำนาจจากศูนย์กลาง (decentralized) มากกว่าการควบคุมโดยรัฐบาลและองค์กรต่าง ๆ เช่นเดียวกับอินเตอร์เน็ตในปัจจุบัน
บางครั้งมีการขยายขอบข่ายเชื่อมโยงกับแนวคิด “เมตาเวิร์ส”
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีการพูดถึงคำว่า
“เว็บ 3.0” กันบ่อยรั้ง เพื่ออธิบายสิ่งที่เรียกว่า “semantic web”[2] อันเป็นแนวคิดของ
Sir Tim Berners-Lee “บิดาแห่งอินเตอร์เน็ต” หมายถึงภาษาที่ใช้สื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์
แนวความคิดของ Berners-Lee เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เราเรียกว่า
web3 ในปัจจุบัน แม้จะไม่ใช่ทั้งหมดก็ตาม
เว็บแบบกระจายศูนย์
(decentralized web) คืออะไร? โครงสร้างพื้นฐานของเว็บไซต์ยอดนิยมที่เราใช้เวลาออนไลน์และออกไป(ท่อง)
เที่ยวมักเป็นของบริษัทต่าง ๆ ซึ่งถูกควบคุมโดยรัฐบาล เนื่องจากเป็นวิธีง่ายที่สุดในการสร้างเครือข่ายโครงสร้างพื้นฐาน
โดยมีคนจ่ายเงินเพื่อติดตั้งเครื่องเซิร์ฟเวอร์และซอฟต์แวร์ที่มีคนต้องการเข้าถึงออนไลน์
จากนั้นจะเรียกเก็บเงินค่าใช้บริการหรือให้ใช้งานฟรีตราบเท่าที่เราปฏิบัติตามกฎของเจ้าของ
ขณะนี้มีทางเลือกอื่นในการจัดเก็บข้อมูลออนไลน์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ที่สร้างขึ้นจากแนวคิดหลักสองประการคือ
การเข้ารหัสและการประมวลผลแบบกระจาย การเข้ารหัสหมายความว่าเฉพาะผู้ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่จัดเก็บในบล็อคเชน
แม้ข้อมูลนั้นถูกจัดเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ของบุคคลอื่น เช่น รัฐบาลหรือบริษัทก็ตาม
ส่วนการประมวลผลแบบกระจายคือ
การแบ่งปัน (shared) แฟ้ม/ไฟล์ (file)
ข้อมูลในคอมพิวเตอร์หรือเซิร์ฟเวอร์จำนวนมาก หากสำเนาไฟล์ใดไม่ตรงกับสำเนาอื่น ๆ แสดงว่าข้อมูลในไฟล์นั้นไม่ถูกต้องโดยเป็นการเพิ่มระดับการป้องกันอีกชั้นหนึ่ง
ไม่มีใครสามารถควบคุมการเข้าถึงหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาตจากบุคคลที่เป็นเจ้าของข้อมูลหรือเครือข่ายแบบกระจายทั้งหมด
แนวคิดดังกล่าวหมายความว่า
ข้อมูลถูกจัดเก็บภายใต้การควบคุมของบุคคลที่เป็นเจ้าของเท่านั้น แม้อยู่บนเซิร์ฟเวอร์ของบริษัทหรือภายใต้การควบคุมของรัฐบาลท้องถิ่น
เจ้าของข้อมูลหรือรัฐบาลก็ไม่สามารถเข้าถึงหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลหากไม่มีกุญแจการเข้ารหัสที่พิสูจน์ความเป็นเจ้าของ
แม้จะปิดหรือถอดเครื่องเซิร์ฟเวอร์ออก ก็ยังสามารถเข้าถึงได้บนคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่งจากหลายร้อยเครื่องที่จัดเก็บข้อมูล
แนวคิดสำคัญอื่น
ๆ เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานทางเทคนิคของ web3 คือ การเป็นระบบเปิดที่สร้างขึ้นจากซอฟต์แวร์แบบเปิด
(open-source software) ผู้เกี่ยวข้องไม่จำเป็นต้องรู้จักหรือไว้วางใจซึ่งกันและกันเพื่อให้ระบบทำงานได้
(trustless) การโต้ตอบและการทำธุรกรรมระหว่างสองฝ่ายไม่จำเป็นต้องใช้บุคคลที่สามที่เชื่อถือได้
ไม่เหมือนใน web2 หรือก่อนหน้านั้นที่เราจะต้องแน่ใจว่าใครก็ตามที่เป็นเจ้าของสื่อที่เราใช้โต้ตอบหรือทำธุรกรรมนั้นไม่ได้ปลอมแปลงหรือตัดต่อการสื่อสาร
ตัวอย่างการทำธุรกรรมที่ไม่จำเป็นต้องไว้วางใจบน
web3 คือ การส่ง Bitcoin ไปยังบุคคลอื่นโดยไม่ผ่านการแลกเปลี่ยนออนไลน์หรือกระเป๋าเงินที่เก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์ส่วนกลาง
การทำธุรกรรมถูกควบคุมโดยอัลกอริธึมบล็อคเชนและการเข้ารหัส ทั้งนี้ โอกาสที่จะมีใครเข้ามาขัดขวางเกือบเป็นศูนย์
(0)
ในทำนองเดียวกัน
“การทำธุรกรรมต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ โดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาต (permissionless)”
หมายความว่าไม่มีฝ่ายใดในการทำธุรกรรมหรือการโต้ตอบต้องขออนุญาตจากบุคคลที่สาม
(เช่น ผู้ให้บริการหรือรัฐบาล) ก่อนจึงจะสามารถทำได้
การพูดคุยเกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงการแทรกแซงของรัฐบาลฟังดูค่อนข้างเป็นอนาธิปไตย
(anarchistic) หรือเสรีนิยมเล็กน้อย อย่างไรก็ดี ยังมีคำถามใหญ่ที่ต้องตอบเกี่ยวกับการกำกับดูแลหรือการควบคุมความปลอดภัยและความถูกต้องตามกฎหมาย
รัฐบาลพยายามสร้างกฎหมายเพื่อควบคุมการสื่อสารและการโต้ตอบบน
Web3 รวมทั้งมีข้อบ่งชี้ว่ารัฐบาลอังกฤษต้องการควบคุมความสามารถของพลเมืองในการส่งข้อความเข้ารหัสแบบตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง
(end-to-end encrypted messages) หากมีผู้ไม่ประสงค์ดีต้องการดูข้อความก็จะแสดงแค่รหัสเท่านั้น
ไม่สามารถเห็นข้อความที่คู่สนทนาส่งหากันได้
Web3 กับแนวความคิด DAO[3] หรือองค์กรอัตโนมัติแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Autonomous
Organisation) ที่ผูกมัดกลุ่มหรือองค์กร (บริษัท)
ที่เข้ารหัสไว้ในบล็อกเชน ตัวอย่างเช่น ร้านค้าที่ใช้ DAO กำหนดราคาสินค้าทั้งหมดรวมถึงรายละเอียดว่าใครจะได้รับเงินจากธุรกิจจะถูกเก็บไว้ในบล็อกเชน
ผู้ถือหุ้นใน
DAO สามารถออกเสียงลงคะแนนเปลี่ยนแปลงราคาหรือผู้รับเงิน อย่างไรก็ดี
ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์โดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีใครเป็นเจ้าของ “โครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ”
หรือแม้แต่เจ้าของเซิร์ฟเวอร์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่จัดเก็บผลกำไรก็ไม่สามารถแทรกแซงได้
ข้อสำคัญในทางทฤษฎี
DAOs ไม่ต้องมี “คนกลาง” จำนวนมากในการบริหารองค์กร เช่น
นายธนาคาร ทนายความ นักบัญชีและเจ้าของที่ดิน
[1] What Is Web3
All About? An Easy Explanation With Examples Bernard Marr 31 January
2022 Available at:
https://bernardmarr.com/what-is-web3-all-about-an-easy-explanation-with-examples/
[2] เว็บเชิงความหมายที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลที่สัมพันธ์กันทั้งจากแหล่งเดียวกันและต่างกัน
ทำให้สามารถอธิบายข้อมูลได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ
[3] องค์กรอัตโนมัติแบบกระจายศูนย์
(Decentralized Autonomous Organizations-DAO) เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อยอดมาจากคุณสมบัติสำคัญของ
Cryptocurrency คือ การกระจายอำนาจ ที่ไม่ได้ถูกควบคุมหรือได้รับอิทธิพลจากรัฐบาลกลางใด
ๆ แต่มีการกระจายระหว่าง Node ต่าง ๆ จึงมีความปลอดภัยและเป็นส่วนตัวสูง
แนวคิดนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2016 ถือเป็นการประยุกต์ใช้และทำงานร่วมกันระหว่างเทคโนโลยี
Blockchain และ Smart Contract ให้ก้าวขึ้นอีกขั้นจาก
DApp (Decentralize Application) กล่าวคือ
ธุรกรรมการเงินและเงื่อนไขกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของ DAO จะมีการบันทึกไว้ใน
Blockchain ไม่ต้องผ่านบุคคลที่สาม เพราะจะมี Smart
Contract ทำให้ธุรกรรมทำได้ง่ายขึ้น
ที่จะแสดงถึงกฎเกณฑ์ขององค์กรรวมถึงเป็นที่เก็บข้อมูลขององค์กรด้วย
ที่ไม่มีใครสามารถแก้ไขกฎโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น DAO องค์กรอัตโนมัติ
คืออะไร ทำงานอย่างไร ประยุกต์ใช้กับธุรกิจแบบไหนได้บ้าง ? มีนาคม
1, 2022 By Lapatrada
https://techsauce.co/tech-and-biz/what-is-dao-decentralized-autonomous-organization

No comments:
Post a Comment