การแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศทวีความเข้มข้น
หลังจาก NATO[1] เผยแพร่ยุทธศาสตร์เทคโนโลยีควอนตัม (quantum technology)[2] เป็นครั้งแรกเมื่อ
17 มกราคม 2024 เพื่อสร้างพันธมิตรที่มีความพร้อมในการแข่งขันด้านเทคโนโลยีพลิกผันที่ใช้ได้สองทาง
(disruptive dual-use) แม้จีนประกาศลงทุนด้านเทคโนโลยีควอนตัมแซงหน้าสหรัฐฯประมาณ
1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่บริษัท IBM ของสหรัฐฯยังคงเป็นผู้นำการประมวลผลควอนตัมขนาดใหญ่[3]
ยุทธศาสตร์เทคโนโลยีควอนตัมที่รัฐมนตรีต่างประเทศ
NATO ให้การรับรอง เมื่อ 28 พฤศจิกายน 2023
ถือเป็นจุดสำคัญของการแข่งขันทางยุทธศาสตร์ ซึ่งอาศัยข้อได้เปรียบที่ไม่เคยมีมาก่อนในการประมวลผล
สื่อสารและการตรวจจับ เอกสารดังกล่าวเน้นการใช้สองทางของเทคโนโลยีควอนตัม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของพันธมิตรและป้องกันมิให้ฝ่ายตรงข้ามหรือคู่แข่งได้เปรียบเชิงกลยุทธ์
ขณะที่ผู้กำหนดนโยบายส่วนใหญ่คุ้นเคยกับการใช้ปัญญาประดิษฐ์
(Artificial Intelligence-AI) และการเรียนรู้ของเครื่องจักร
(Machine Learning-ML) เพื่อความมั่นคงแห่งชาติพร้อมกับป้องกันการใช้งานโดยมีเจตนามุ่งร้ายรวมทั้งการเร่งความก้าวหน้าทางเทคนิคประมวลผลแบบควอนตัมและสาขาอื่น
ๆ ที่จำเป็นและทันเวลา
เทคโนโลยีควอนตัมเป็นเทคโนโลยีปรากฎใหม่ที่ใช้ประโยชน์จากหลักการกลศาสตร์ควอนตัม
(quantum mechanics) อันเป็นสาขาของวิชาฟิสิกส์ที่ศึกษาพฤติกรรมของอนุภาคในระดับต่ำกว่าอะตอมและอนุภาคมูลฐานเทคโนโลยีควอนตัมสามประเภทได้แก่
การประมวลผลควอนตัม การสื่อสารควอนตัมและการตรวจจับควอนตัมแตกต่างจากการคำนวณแบบดั้งเดิมซึ่งใช้
bits แทนตัวเลขฐานสอง (binary) ส่วนการประมวลผลควอนตัมใช้
qubits ซึ่งมีหลายสถานะพร้อมกันหรือสภาวะทับซ้อน (Superposition) ที่คลื่น 2 คลื่นเคลื่อนที่มาพบกันในตัวกลางเดียวกันและเกิดการรวมกัน
ควอนตัมสามารถถอดรหัสอัลกอริธึมที่ใช้กันอย่างแพร่หลายได้อย่างง่ายดายและมีศักยภาพในการเปิดเผยข้อมูลสำคัญและอ่อนไหวด้านความมั่นคงแห่งชาติ
การประมวลผลควอนตัมทรงพลังมากกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไปซึ่งจะช่วยสนับสนุนการคำนวณและการสร้างแบบจำลองที่ซับซ้อน
การสื่อสารควอนตัมทำให้การรับส่งข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว
ให้ประโยชน์อย่างชัดเจนในสนามรบรวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการบัญชาการและควบคุม
(command and control) ทางทหารตลอดจนการสื่อสารผ่านดาวเทียมเกี่ยวกับข่าวกรอง
(intelligence) การเฝ้าระวัง (surveillance) และการลาดตระเวน (reconnaissance)
การตรวจจับอนุภาคควอนตัม
(quantum
sensing) ด้วยความแม่นยำและฉับไว ยกระดับความสามารถในการตรวจวัดทางกายภาพ
กล่าวโดยสรุปเทคโนโลยีควอนตัมปฏิวัติความสามารถในการตรวจจับและเฝ้าระวังของกองทัพและปรับปรุงการรวบรวมข้อมูลในพื้นที่
เทคโนโลยีควอนตัมทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงในด้านการรักษาความปลอดภัยและการป้องกัน
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายทางด้านเทคนิครวมทั้งความยากลำบากในการสร้างและรักษาเสถียรภาพคอมพิวเตอร์ควอนตัมขนาดใหญ่เป็นอุปสรรคสำคัญในการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในเชิงพาณิชย์
วิสัยทัศน์พันธมิตรที่มีความพร้อมด้านควอนตัม
NATO
และพันธมิตรจะสนับสนุนระบบนิเวศควอนตัมที่มีความปลอดภัย ยืดหยุ่น (resilient) สามารถตอบสนองการแข่งขันทางเทคโนโลยีที่รวดเร็วในอุตสาหกรรมควอนตัม โดยอาศัยความสอดคล้องในการลงทุนและการร่วมมือระหว่างพันธมิตร
การพัฒนาแรงงานที่มีทักษะและการตระหนักรู้สถานการณ์
การบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ควอนตัม
NATO
และพันธมิตรจะใช้ประโยชน์เทคโนโลยีควอนตัมสนับสนุนภารกิจหลัก เพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการ
อาทิ พันธมิตรและ NATO ระบุถึงการใช้เทคโนโลยีควอนตัมและการใช้งานแบบสองทาง
การทดสอบและบูรณาการเทคโนโลยีควอนตัมตามข้อกำหนดการวางแผนป้องกันและการพัฒนาขีดความสามารถ
NATO
ได้พัฒนากรอบการดำเนินงาน การปรับใช้ สร้างมาตรฐานและนโยบายด้านซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำงานร่วมกัน
(interoperability)
Sam
Howell นักวิจัยเทคโนโลยีและความมั่นคงแห่งชาติเห็นว่า ยุทธศาสตร์ดังกล่าวสอดคล้องกับกรอบการพัฒนาเทคโนโลยีควอนตัมของสหรัฐฯแบบเกมผลรวมเป็นศูนย์
(zero -sum game)[4] ซึ่งเอื้อต่อนวัตกรรมและความสามารถในการแข่งขันขณะเดียวกันอาจนำไปสู่การพูดเกินจริงเกี่ยวกับความเสี่ยงเรื่องควอนตัม
ในช่วงแรกของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี
AI
ผู้เชี่ยวชาญบางคนเปรียบเปรยว่าเป็น “การแข่งขันสะสมอาวุธ (Arms
Race)” ซึ่งถูกโต้แย้งว่าเป็นการตื่นตระหนกและไม่มีมูลทางวิทยาศาสตร์
สร้างความหวาดกลัวเพื่อทำให้เกิดสงครามเย็น
ที่ผ่านมา
NATO
ได้ลงทุนด้านเทคโนโลยีควอนตัมเพื่อวัตถุประสงค์ด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศมานานหลายปี
บริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีควอนตัมหลายแห่งได้รับการพัฒนาและบ่มเพาะเพื่อนำร่องด้านการป้องกันและความมั่นคงผ่านโครงการเร่งนวัตกรรมป้องกันแอตแลนติกเหนือ
(DIANA)
ในกันยายน
2023 NATO เปิดตัวบริษัท Deep Tech Lab – Quantum
ในเดนมาร์ก ซึ่งเป็นห้องทดลองปฏิบัติการสตาร์ทอัพที่มีอนาคตในด้านเทคโนโลยีควอนตัม
ตัวแสดงทั่วโลกได้จัดสรรทรัพยากรจำนวนมากเพื่อการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีควอนตัมในการสร้างความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์
นอกจากสหรัฐฯและสหภาพยุโรป
(EU)
จีนเป็นผู้เล่นอันดับต้น ๆ ในการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ควอนตัม การประมาณการที่เผยแพร่โดย
McKinsey and Company ในเมษายน 2023
จีนแซงหน้า EU ในการลงทุนเทคโนโลยีควอนตัมประมาณ 8,000
ล้านดอลลาร์สหรัฐ
จีนเป็นผู้ก่อเหตุจารกรรมในอุตสาหกรรมการประมวลผลควอนตัมในสถาบันอุดมศึกษาของสหรัฐฯ
ตั้งแต่ปี 2018 สหรัฐฯพยายามตอบโต้จีนในด้านคอมพิวเตอร์ควอนตัมและการใช้งานสองทางผ่านการคว่ำบาตรและข้อจำกัดทางการค้าและการส่งออกที่เกี่ยวข้องกับชิปเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง
[1] องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (North Atlantic Treaty
Organization)
[2] คือ การนำควอนตัมฟิสิกส์ ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ (Pure
Science) หรือธรรมชาติวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ
สังคมและการใช้ชีวิตประจำวัน ทั้งนี้ “ควอนตัม” ถูกคาดการณ์ว่าจะเป็นเทคโนโลยีพลิกผัน
(Disruptive Technology) ต่อจากเทคโนโลยีดิจิทัล ทำให้เกิดโอกาส/ข้อจำกัด
ความได้เปรียบ/เสียเปรียบทางเศรษฐกิจ สังคมและความมั่นคงของประเทศเป็นเหตุให้นานาประเทศทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเร่งศึกษา
วิจัย พัฒนา เพื่อสร้างนวัตกรรมจากเทคโนโลยีควอนตัมให้เป็นรูปธรรม ดู "ควอนตัม"
เทคโนโลยีสุดล้ำกับคำตอบแห่งอนาคต เข้าถึงได้ที่ https://www.depa.or.th/th/article-view/quantum-the-new-technology
[3] NATO’S
QUANTUM TECHNOLOGIES STRATEGY HIGHLIGHTS INTENSIFYING STRATEGIC COMPETITION
INTELBRIEF Friday, January 26, 2024 Available at:
https://mailchi.mp/thesoufancenter/natos-quantum-technologies-strategy-highlights-intensifying-strategic-competition?e=c4a0dc064a
[4] ฝ่ายชนะได้ประโยชน์เท่ากับฝ่ายแพ้เสีย

No comments:
Post a Comment